Creative Pragmatic Co-Design for Humanity-Centered Development: From Margins to Mainstream
วันพุธที่ 29 กรกฎาคม 2568 14.00-16.00 น. ห้อง Classroom 3 TDPK West, True Digital Park
ผศ.ดร.ฤทธิรงค์ จุฑาพฤฒิกร และ อาจารย์สุขสันติ์ ชื่นอารมย์
ศูนย์วิจัยนวัตกรรมสิ่งแวดล้อมสรรค์สร้าง มหาวิทยาลัยกรุงเทพ นำเสนอผลงานที่คัดสรรเฉพาะโครงการที่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับ SDG-17 ซึ่งเป็นนโยบายหลักของมหาวิทยาลัยในการขับเคลื่อนการเรียนการสอนทั้งในปัจจุบันและอนาคต
ภาพรวมการดำเนินงานของศูนย์วิจัยนวัตกรรมสิ่งแวดล้อมสรรค์สร้าง (BU BEiLa)
ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2560–2568) ศูนย์วิจัยฯ ได้ดำเนินโครงการวิจัยกว่า 20 โครงการ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึง ความหลากหลายของขอบเขตการทำงาน ตั้งแต่งานวิจัยเชิงพื้นที่ งานออกแบบสถาปัตยกรรม ไปจนถึงงานนิทรรศการและการสื่อสารสังคม
โครงการต่างๆ เหล่านี้สามารถจัดลำดับตามระดับของการรับรู้ (Perception Scale) ออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่:
ระดับ Human Scale จำนวน 5 โครงการ เช่น นิทรรศการ โอกาสสถาน และ เลือนจำ ที่ว่าด้วยคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขังและการสื่อสารเรื่องความเป็น

ธรรมในกระบวนการยุติธรรม
ระดับ Building Scale จำนวน 4 โครงการ เช่น โครงการ ฟาร์มสามารถ สำหรับผู้พิการ และ ศูนย์แม่และเด็ก ภายในเรือนจำกลางคลองเปรม
ระดับ Urban Scale จำนวน 12 โครงการ เช่น ย่านนวัตกรรมกล้วยน้ำไท, ย่านนวัตกรรมการแพทย์ศิริราช, และ ย่านสร้างสรรค์ในเชียงราย น่าน และระยอง
โครงการเหล่านี้ไม่เพียงแสดงถึงความลึกของการทำงานวิจัย แต่ยังสะท้อนถึงความสามารถของศูนย์ฯ ในการ บูรณาการองค์ความรู้จากหลากหลายมิติ ทั้งด้านสถาปัตยกรรม การวางผังเมือง สังคมศาสตร์ และศิลปะร่วมสมัย
ความต่อเนื่องของโครงการตลอด 8 ปีเกิดขึ้นได้จาก ความร่วมมือกับภาคีและแหล่งทุนหลากหลายภาคส่วน โดยแบ่งเป็นสัดส่วนที่สำคัญดังนี้:
ภาครัฐ สนับสนุนทุนวิจัยในสัดส่วนสูงสุด ประมาณ 73% ผ่านหน่วยงานต่างๆ อาทิ บพค บพช บพท และองค์กรในระดับจังหวัดและภูมิภาค
มหาวิทยาลัยและแหล่งทุนอิสระ ร่วมสนับสนุนอีกประมาณ 25.5% โดยเฉพาะในโครงการเชิงทดลองหรือที่มีการใช้เครื่องมือวิจัยใหม่
ภาคเอกชนและองค์กรท้องถิ่น มีบทบาทในการร่วมพัฒนาหรือร่วมทดลองในพื้นที่จริง ประมาณ 1.5% ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตในอนาคตผ่านโมเดลความร่วมมือแบบ Co-Investment
ประเด็นความเชี่ยวชาญและทิศทางการพัฒนาองค์ความรู้
ศูนย์วิจัยฯ มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาความรู้ที่ตอบโจทย์สังคมร่วมสมัย โดยเน้นประเด็นเชิงยุทธศาสตร์ 7 ด้านสำคัญ ได้แก่:
1. การพัฒนาเมืองและพื้นที่ ด้วยแนวคิดเชิงมนุษย์เป็นศูนย์กลาง
2. ฐานข้อมูลดิจิทัล (Digital Platform & Micro Data) เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบาย
3. การออกแบบเพื่อทุกคน (Universal Design) และ การออกแบบที่คำนึงถึงความเสมอภาค (Inclusive Design)
4. การพัฒนาเขตนวัตกรรม (Innovation District) และ ย่านสร้างสรรค์ (Creative District)
5. การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เชิงกลยุทธ์ ร่วมกับผู้ประกอบการ
6. งานออกแบบภายใน งานจัดนิทรรศการ และการสื่อสารผ่านศิลปะ
7. เศรษฐกิจสร้างสรรค์ อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ และการสร้างเมืองที่มีอัตลักษณ์
ประสบการณ์และความรู้จากการทำงานข้างต้น ได้ถูกสะสมและกลั่นกรองเป็น ทุนความรู้เชิงระบบ ที่ศูนย์ฯ นำไปประยุกต์ใช้ในงานพัฒนาพื้นที่หลากหลายระดับ โดยเฉพาะในด้านการใช้ “ข้อมูล” และ “การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน” เพื่อสนับสนุนการวางแผนที่ยั่งยืน และการออกแบบพื้นที่ที่ตอบสนองความต้องการของผู้คนอย่างแท้จริง การทำงานในลักษณะนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่การวิจัยในเชิงวิชาการ แต่เป็นการ สร้างการเปลี่ยนแปลงร่วมกับพื้นที่ ผ่านความเข้าใจ ความร่วมมือ และการออกแบบอย่างมีจริยธรรม
Creative Pragmatic Co-Design สูตรการออกแบบร่วมเพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน
หัวใจสำคัญของการทำงานในทุกโครงการของศูนย์วิจัยนวัตกรรมสิ่งแวดล้อมสรรค์สร้าง คือกระบวนการที่เราเรียกว่า Creative Pragmatic Co-Design กระบวนการนี้ถูกกลั่นจากประสบการณ์ภาคสนามตลอด 8 ปีของการทำงานกับชุมชน พื้นที่ และภาคส่วนต่าง ๆ ที่มีความซับซ้อน แตกต่าง และท้าทาย จึงได้ตกผลึกเป็น “สูตรการทำงานร่วม” ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับหลายระดับของปัญหาและบริบท
สูตรนี้ประกอบด้วย 4 ขั้นตอนหลัก คือ

Insight Mapping คือการเริ่มต้นด้วยการ ฟังและทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ในขั้นตอนนี้ เราจะค้นหา ใครคือผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง (Stakeholders) แต่ละฝ่ายมี Pain Point อะไร และกำลังเผชิญกับ บริบทหรือเงื่อนไขแบบใด ที่ส่งผลต่อปัญหาการวิเคราะห์เชิงลึกเหล่านี้ช่วยให้เรา มองเห็นภาพจริงของพื้นที่ และตั้งโจทย์อย่างมีรากฐาน
Creative Tooling & Testing เมื่อเข้าใจปัญหาแล้ว เราจะพัฒนาเครื่องมือ เพื่อใช้ในการสื่อสารกับกลุ่มต่าง ๆ อย่างเท่าเทียม เครื่องมืออาจเป็น ภาพ หุ่นจำลอง กระดานภาพ หรือระบบดิจิทัล แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องทดสอบกับกลุ่มเป้าหมายก่อนใช้จริง เพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องมือนั้น เข้าใจง่าย ใช้ได้จริง และสื่อสารได้ตรงจุด
Co-Design เป็นขั้นตอนที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ร่วมกันออกแบบ คิด ทดลอง และเสนอทางออก รูปแบบกิจกรรมอาจแตกต่างกันตามบริบท ตั้งแต่การพูดคุยกลุ่มย่อย เวิร์กชอป ไปจนถึงนิทรรศการสื่อสารต่อสาธารณะ
เป้าหมายคือ ให้ทุกเสียงมีส่วนในการสร้างคำตอบ และ “การออกแบบ” จึงไม่ใช่เรื่องของนักออกแบบเพียงลำพังอีกต่อไป
Collective Solutions ผลลัพธ์ของกระบวนการนี้ คือ ทางออกที่เป็นของทุกคน ซึ่งอาจอยู่ในรูปของนโยบาย แผนแม่บท พื้นที่ทดลอง หรืองานออกแบบที่ส่งผลต่อโครงสร้าง ที่สำคัญ กระบวนการนี้ก่อให้เกิด ความไว้วางใจ (Trust) และเปิดทางให้เกิด การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง (Transformation) ในระดับบุคคล ชุมชน และระบบ
เป้าหมายของกระบวนการนี้ ประกอบไปด้วย สนับสนุนให้เกิดความเข้าใจร่วม (Shared Understanding) การขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง (Structural Impact) การสร้างสัมพันธ์ที่ไว้วางใจระหว่างภาคส่วน (Trust & Collaboration) และความเชื่อมโยงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)
Creative Pragmatic Co-Design จึงไม่ใช่เพียงสูตรทางทฤษฎี แต่คือ “ภาคปฏิบัติ” ที่ช่วยเปลี่ยนพื้นที่ เปลี่ยนวิธีคิด และเปลี่ยนความสัมพันธ์ของผู้คน เพื่อพัฒนาสังคมให้ก้าวหน้าอย่างมีส่วนร่วม โดยให้ความสำคัญกับแนวทางการทำงานที่เน้น ”ประชาชนเป็นศูนย์กลาง“ การพัฒนาที่ยั่งยืนใดๆล้วนแวดล้อมด้วย มนุษย์ และมนุษยธรรม การสร้างการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา จึงนำไปสู่ทางออกที่ยังประโยชน์แก่ทุกฝ่ายอย่างยั่งยืน
กรณีศึกษา Human Scale: นิทรรศการ “โอกาสสถาน” และ “เลือนจำ”
ในบรรดาโครงการทั้งหมดที่ศูนย์วิจัยดำเนินการ โครงการ “โอกาสสถาน” และ “เลือนจำ” เป็นตัวอย่างที่สะท้อนการประยุกต์ใช้สูตร Creative Pragmatic Co-Design ในระดับ Human Scale ได้อย่างชัดเจน ทั้งสองโครงการแสดงให้เห็นถึงการเริ่มต้นจากความเข้าใจลึกถึงผู้คน สู่การสร้างเครื่องมือสื่อสารร่วม และพัฒนาไปจนถึงผลลัพธ์ที่มีพลังทางสังคม
นิทรรศการ “โอกาสสถาน” เริ่มจากการทำความเข้าใจกลุ่มผู้พ้นโทษและผู้ต้องขังหญิงผ่านการสำรวจ pain point และบริบทของระบบยุติธรรม จากนั้นพัฒนาเครื่องมือภาพจำลองและโมเดลทางสถาปัตยกรรม เพื่อใช้ในการจัด workshop และนิทรรศการที่เผยแพร่เรื่องราวภายในเรือนจำ กระบวนการนี้นำไปสู่การออกแบบพื้นที่ฟื้นฟูหลังพ้นโทษที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตใหม่ และยังจุดประกายการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายอื่นๆตามมา เช่น การพัฒนาศูนย์แม่และเด็กภายใต้แนวทางของ Bangkok Rules
นิทรรศการ “เลือนจำ” ตั้งต้นจากการสำรวจภาพจำทางสังคมที่มีต่อผู้ต้องขัง แล้วแปลงข้อมูลเหล่านั้นเป็นงานศิลปะเชิงปฏิสัมพันธ์ที่จัดแสดงในศูนย์การค้า โดยมีนักศึกษา นักออกแบบ และประชาชนทั่วไปเข้าร่วมในกระบวนการสร้างสรรค์และจัดแสดง ผ่านการทดลองใช้สื่อภาพและการสื่อสารที่ไม่ตัดสินถูกและผิด นิทรรศการนี้ไม่ได้เป็นเพียงผลงานศิลปะ แต่ทำหน้าที่เป็น “พื้นที่ปลอดภัย” ที่กระตุ้นให้สังคมได้ตั้งคำถามใหม่ต่อความยุติธรรม และมีเป้าหมายเพื่อสร้างยอมรับว่างานออกแบบก็สามารถเป็นพลังในการเปลี่ยนทัศนคติของผู้คนได้

กรณีศึกษา Building Scale: ฟาร์มสามารถ และศูนย์แม่และเด็กในเรือนจำ
โครงการระดับ Building Scale คือกลุ่มโครงการที่ออกแบบระบบ พื้นที่ หรือบริการที่สัมพันธ์กับ “สถาปัตยกรรมเพื่อการใช้ชีวิต” โดยมุ่งเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูศักยภาพของกลุ่มเปราะบางผ่านการออกแบบอย่างมีส่วนร่วม ทั้งสองโครงการที่ยกมา—ฟาร์มสามารถ และ สถานคุมขังสำหรับกลุ่มเปราะบาง—ได้แสดงให้เห็นการประยุกต์ใช้สูตร Creative Pragmatic Co-Design อย่างครบถ้วน
โครงการ “ฟาร์มสามารถ” เริ่มต้นจากการเข้าใจ pain point ของผู้พิการที่ไม่สามารถประกอบอาชีพเกษตรกรรมได้เนื่องจากพื้นที่และระบบไม่เอื้อต่อการเข้าถึง จากนั้นจึงออกแบบเครื่องมือจำลองพื้นที่ทดลองปลูกผักที่เป็นมิตรกับรถเข็น พร้อมระบบรดน้ำอัตโนมัติ และใช้กิจกรรมฝึกอบรมร่วมกับภาคี 4 ฝ่าย (ผู้พิการ, สถาบันการศึกษา, หน่วยงานรัฐ, สื่อ) ผ่านเวิร์กชอปและโมเดลจำลอง โดยผลลัพธ์ของกระบวนการนี้คือศูนย์เรียนรู้ที่ไม่เพียงแค่เป็นฟาร์ม แต่เป็นพื้นที่แห่งการมีส่วนร่วมที่ทุกฝ่ายช่วยกันออกแบบจนเกิดเป็นระบบอาชีพต้นแบบที่สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนพิการและขยายผลไปสู่ชุมชนอื่นๆได้จริง

โครงการ “ศูนย์แม่และเด็กในเรือนจำ” เป็นการทำงานกับกลุ่มผู้ต้องขังหญิงตั้งครรภ์ ซึ่งถูกตัดขาดจากโอกาสในการดูแลลูกในช่วงสำคัญของชีวิต กระบวนการเริ่มจากการเก็บข้อมูลความรู้สึกและความต้องการของผู้ต้องขัง ผ่านสื่อภาพและกระดานกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้หญิงในเรือนจำสามารถสะท้อนความคิดออกมาได้แม้ไม่มีทักษะด้านการออกแบบโดยตรง จากนั้นใช้เครื่องมือ visual board และโมเดลจำลองในการประชุมเชิงปฏิบัติการร่วมกับเจ้าหน้าที่และนักออกแบบ เพื่อพัฒนาต้นแบบศูนย์แม่และเด็กที่เอื้อต่อพัฒนาการของเด็กในเรือนจำ ผลลัพธ์ของโครงการนี้จึงไม่เพียงเปลี่ยนโครงสร้างทางกายภาพ แต่ยังช่วยฟื้นฟูบทบาทความเป็น “แม่” ในพื้นที่ที่ไม่เคยมีพื้นที่นี้มาก่อน
กรณีศึกษา Urban Scale: พื้นที่สร้างสรรค์ที่เติบโตจากข้อมูล สู่การเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ
การออกแบบร่วมในระดับ Urban Scale คือการจัดการกับความซับซ้อนของเมือง พื้นที่ และเครือข่ายนโยบาย โดยใช้ข้อมูล บริบท และการมีส่วนร่วมของหลายภาคส่วนเพื่อผลักดันให้เกิดนวัตกรรมในระดับย่าน โครงการทั้ง 4 ที่ยกตัวอย่างต่อไปนี้แสดงให้เห็นถึงการประยุกต์สูตร Creative Pragmatic Co-Design เพื่อสร้างผลกระทบที่ก้าวข้ามแค่สถาปัตยกรรม แต่แตะถึงการพัฒนาเชิงระบบ
โครงการ “ย่านนวัตกรรมกล้วยน้ำไท” (KIID) เริ่มต้นจากการทำ Insight Mapping เพื่อเข้าใจปัญหาของพื้นที่ที่ขาดแผนพัฒนาระดับย่าน ไม่มีฐานข้อมูลเศรษฐกิจ และไม่มีการกำหนดทิศทางอุตสาหกรรมเป้าหมาย เครื่องมือที่พัฒนาขึ้น ได้แก่ Web Application และระบบฐานข้อมูล micro data ที่นำเสนอผ่านแผนที่เชิงวิเคราะห์ จากนั้นจัดเวิร์กชอปกับ stakeholder หลากหลายกลุ่ม ทั้งชุมชน นักออกแบบ ผู้ประกอบการ และหน่วยงานรัฐ เพื่อร่วมออกแบบ Master Plan ย่านนวัตกรรมเชิงพื้นที่ โดยผลลัพธ์ของโครงการนี้ไม่เพียงสร้างฐานข้อมูลที่ใช้ได้จริง แต่ยังเปิดบทบาทใหม่ของ “ข้อมูล” ในการสร้างทิศทางร่วมของการพัฒนาเมือง
โครงการ “ย่านนวัตกรรมไซเบอร์เทค” เป็นการตอบโจทย์พื้นที่เมืองใหม่ที่เติบโตอย่างรวดเร็วแต่ไร้ทิศทาง โครงการเริ่มจากการวิเคราะห์ pain point ของย่านที่ขาดบริบทสนับสนุน และยังไม่มีการพัฒนาแบบมีส่วนร่วม ทีมวิจัยพัฒนาเครื่องมือ digital mapping และ district database เพื่อใช้ในกระบวนการเก็บข้อมูล ร่วมกับวิธีการอื่นๆ เช่น focus group, interview และ foresight workshop กับชุมชนและผู้ประกอบการ ผลลัพธ์คือ Master Plan ย่านที่วางโครงสร้างการเติบโตของอุตสาหกรรมดิจิทัล โดยมีผู้เล่นหลักในพื้นที่เข้ามามีบทบาทในการกำหนดทิศทางอนาคตร่วมกัน
โครงการ “เครือข่ายย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ประเทศไทย” (TCDN) เน้นการสนับสนุนเมืองขนาดเล็กที่มีศักยภาพและสินทรัยพ์ด้านวัฒนธรรมและสร้างสรรค์ เช่น เชียงราย น่าน และระยอง โดยวางกระบวนการเริ่มต้นจากการสำรวจ asset ของย่าน และสร้างเครื่องมืออย่าง creative district mapping และ 1:1 test day เพื่อทดลองใช้พื้นที่จริง กระบวนการ Co-Design ดำเนินร่วมกับภาคีในท้องถิ่นทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน จนเกิดเป็นแผนพัฒนาย่านที่มีทั้งกิจกรรม กลไก และทิศทางที่ชัดเจน ซึ่งสามารถนำไปต่อยอดในระดับเมืองได้

โครงการ “ย่านนวัตกรรมการแพทย์ศิริราช” เป็นการพัฒนาเมืองที่มีทั้งอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมและบทบาทในระบบสาธารณสุขแห่งชาติ จุดเริ่มต้นคือการทำ insight mapping จากบริบททางกายภาพของย่าน และการสัมภาษณ์ stakeholder จากหลายภาคส่วน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ Webapp และระบบข้อมูลวิสัยทัศน์ย่าน (Vision Mapping) จากนั้นดำเนินการประชุมกับคณะทำงานจากศิริราช ภาควิชาต่าง ๆ และชุมชน ผลลัพธ์คือ district development strategy ที่ใช้ร่วมกันได้จริง พร้อมฐานข้อมูลที่สนับสนุนการพัฒนาเมืองอย่างมีทิศทางในระยะยาว
บทสรุป: Creative Pragmatic Co-Design – เครื่องมือออกแบบร่วมเพื่อการเปลี่ยนแปลงพื้นที่อย่างมีส่วนร่วม
แนวทาง Creative Pragmatic Co-Design คือกรอบกระบวนการที่ศูนย์วิจัยนวัตกรรมสิ่งแวดล้อมสรรค์สร้างพัฒนาขึ้น เพื่อใช้เป็นเครื่องมือหลักในการดำเนินงานวิจัย ออกแบบ และพัฒนาพื้นที่ในระดับต่าง ๆ โดยยึดถือหลักการมีส่วนร่วม ความเข้าใจบริบท และการสร้างผลลัพธ์ที่เกิดจากการคิดร่วมกันของทุกฝ่าย กระบวนการนี้ประกอบด้วย 4 ขั้นตอนหลัก ได้แก่ Insight Mapping → Creative Tooling & Testing → Co-Design → Collective Solutions ซึ่งถูกนำไปใช้จริงในโครงการกว่า 20 โครงการทั่วประเทศ ทั้งในระดับบุคคล อาคาร และเมือง
อย่างไรก็ดี ผลลัพธ์ของกระบวนการนี้ไม่ได้จบลงที่ “Collective Solutions” เท่านั้น แต่ยังเกิด “คุณค่าร่วม” ระหว่างทางที่มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน ไม่ว่าจะเป็นการ empower กลุ่มเปราะบาง ให้สามารถมีส่วนร่วมในประเด็นที่เคยถูกกีดกัน การ แลกเปลี่ยนมุมมองระหว่างภาคส่วน ที่ช่วยให้เห็นทางออกที่หลากหลายและสร้างสรรค์มากขึ้น การ สร้างเครือข่ายการสนับสนุนข้ามระดับ ระหว่างรัฐ เอกชน ชุมชน และนักวิชาชีพ ไปจนถึงการ จุดประกายการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย ผ่านฐานเสียงของประชาชนที่มีส่วนร่วมในกระบวนการออกแบบตั้งแต่ต้น
บทบาทของศูนย์วิจัยฯ จึงไม่ได้เป็นเพียงผู้ผลิตองค์ความรู้ แต่ทำหน้าที่เสมือน ผู้อำนวยกระบวนการ (facilitator) ที่เชื่อมโยงผู้คนที่แตกต่างกันให้สามารถเข้าใจและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ร่วมกัน ศูนย์ฯ ใช้ “ความคิดสร้างสรรค์” เป็นเครื่องมือสำคัญในการออกแบบ เครื่องมือสื่อสารร่วม ที่เข้าถึงได้ทุกคน ไม่ว่าพวกเขาจะมีข้อจำกัดด้านภาษา วัย หรือความสามารถ และยังนำเอาผลลัพธ์ของงานวิจัยเหล่านี้ไป ใช้จริงในการพัฒนาพื้นที่และเมือง เพื่อให้เกิดผลกระทบที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืน โดยยึดมั่นในแนวทางการพัฒนาที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง เป็นหลักสำคัญ
แนวทางนี้จึงไม่เพียงเป็นสูตรของการทำงานเชิงวิชาการ หากแต่เป็นแนวทางของการ “ทำงานร่วม” ที่ตั้งต้นจากความเข้าใจ และจบลงที่การเปลี่ยนแปลงร่วมกันอย่างแท้จริง