
ไม่กี่ปีที่ผ่านมาอาชญากรรมข้ามชาติอย่างสแกมเมอร์ ถูกมองว่าเป็น ‘การค้าทาสยุคใหม่’ ที่แพร่กระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว และมีศูนย์กลางอยู่ที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อไทยหลายด้านเพราะถือเป็นหนึ่งในประเทศทางผ่าน นำเหยื่อไปสู่ปลายทางของแก๊งสแกมเมอร์
เวที Restoring trust, rescuing lives: Fighting Human Trafficking Behind Online Scams ได้แลกเปลี่ยนมุมมองถึงวิธีการป้องกันและรับมือกับภัยคุกคามนี้กับหลายฝ่าย ทั้ง ยิ่งยศ ลีชัยอนันต์ หัวหน้าฝ่ายนโยบายสาธารณะ Facebook ประเทศไทย จาก Meta, พ.ต.ต. สิริวิชญ์ เกษมทรัพย์ ผู้อำนวยการกองคดีการค้ามนุษย์ กรมสอบสวนคดีพิเศษ, ชนาพัทร์ มณีดุลย์ ผู้จัดการโครงการประจำประเทศไทยโครงการอาเซียน-ออสเตรเลีย เพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ (ASEAN–Australia Counter Trafficking: AACT) และ จิล ฮินเดอร์ Finance and Human Rights Specialist, UNDP Global เพื่อทำให้เราได้มองเห็นภาพรวมของปัญหานี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
วิกฤตสแกมเมอร์กลายเป็นสิ่งที่ทุกภาคส่วนต้องเร่งรับมือ
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในตอนนี้กลายเป็นศูนย์กลางอาชญากรรมออนไลน์ และแก๊งค้ามนุษย์ข้ามชาติ ที่ไทยได้รับผลกระทบโดยตรง และไม่ใช่แค่ประเด็นของการหลอกคนไปทำงานเป็นสแกมเมอร์ หรือเหยื่อที่ถูกหลอกจากแก๊งสแกมเมอร์ แต่เรื่องนี้ส่งผลกระทบถึงระบบเศรษฐกิจดิจิทัลหมุนเวียนเงินแบบผิดกฎหมาย ที่บางช่วงเวลามีจำนวนเยอะมากจนแตะ 30% ของ GDP บางประเทศในภูมิภาคอาเซียน
ชนาพัทร์ ผู้จัดการโครงการประจำประเทศไทยโครงการอาเซียน-ออสเตรเลีย เพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ หรือ ASEAN-ACT อ้างอิงข้อมูลจาก UNOHCHR ที่ประเมินว่ามีผู้ตกเป็นเหยื่อมากกว่า 300,000 คนจาก 60 ประเทศ ปัญหานี้ใหญ่เกินกว่าที่หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งจะแก้ไขได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งภาคประชาสังคม ภาครัฐ ตำรวจ และภาคเอกชน ซึ่งภาครัฐจำเป็นต้องสร้างมาตรฐานในการแยกแยะว่าใครคือผู้เสียหายและใครคือผู้กระทำความผิด เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระดับภูมิภาคในอาเซียน
พันตำรวจตรี สิริวิทย์ ผอ.กรมสอบสวนคดีพิเศษ แบ่งปันกลโกงของแก๊งสแกมเมอร์ว่ามีลักษณะเป็นธุรกิจที่ทำงานอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การขายแพ็กเกจการลงทุน จัดหาบริษัท จัดหาบัญชีม้า หาคนผ่านบริษัท HR และมีเครือข่ายบริษัทไอที ยืนยันถึงความยิ่งใหญ่ของเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ และถึงแม้จะจับกุมเหยื่อที่ถูกบังคับให้เป็นคอลเซ็นเตอร์ได้จำนวนมาก แต่ตัวการจริงส่วนใหญ่ก็ยังคงลอยนวล
ความร่วมมือเพื่อสกัดภัยสแกมเมอร์ในทุกมิติ
หลายฝ่ายมองว่าหนึ่งในทางแก้ปัญหาเรื่องนี้คือการสร้างความร่วมมือด้วยแนวทางที่เรียกว่า Whole-of-Society Approach และ Cross-sectoral Partnership การให้ความรู้และเพิ่มความตระหนักแก่ประชาชน และการยับยั้งการกระทำผิดผ่านเทคโนโลยี เพื่อบรรลุเป้าหมายหลักอย่างการจัดการกับเครือข่ายแก๊งสแกมเมอร์
ยิ่งยศ ลีชัยอนันต์ หัวหน้าฝ่ายนโยบายสาธารณะ Facebook ประเทศไทย จาก Meta มองว่าปัญหาสแกมไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะของแพลตฟอร์มใดแพลตฟอร์มหนึ่ง มีลักษณะปฏิบัติการร่วมกัน คือ มีการใช้หลายช่องทางของหลายๆ แพลทฟอร์มร่วมกันและย้ายไปแชทแอป และส่งต่อไปยังเว็บไซต์คริปโต ซึ่งการแก้ปัญหาจึงจำเป็นต้องเชื่อมต่อข้อมูลจากทุกภาคส่วน ซึ่งในปีที่ผ่านมา Meta ได้ปิดบัญชีกว่า 2 ล้านบัญชี ที่เชื่อมโยงกับองค์กรอาชญากรรมทั่วอาเซียน
จิล ฮินเดอร์ ตัวแทนจาก UNDP อธิบายลักษณะการทำงานของกลุ่มสแกมเมอร์ว่าเหมือนกับองค์กรการเงิน (Financial enterprise) ที่ใช้ AI และมีระบบการเงินแบบดิจิทัลตั้งแต่คริปโตไปจนถึงเกมมิงเครดิต เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ เธอจึงเล็งเห็นเหมือนกับทุกฝ่ายว่าต้องเน้นเรื่องความร่วมมือของรัฐ เอกชน หน่วยข่าวกรองทางการเงิน (Financial Intelligence Units: FIU) และภาคธนาคาร เน้นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของระบบการเงินเพื่อลดโอกาสเอื้อประโยชน์ต่ออาชญากรรม
กลไกตอบโต้ภัยอาชญากรรมสมัยใหม่
ตัวแทนภาคนโยบายและความมั่นคงอย่าง พันตำรวจตรี สิริวิทย์ ชี้ให้เห็นว่าปัญหานี้คือการบรรจบกันของอาชญากรรมสองด้าน คือการค้ามนุษย์กับการฉ้อโกงออนไลน์ที่ทำงานแบบครบวงจร ดังนั้น การทำงานของ DSI จึงต้องอาศัยความร่วมมือข้ามประเทศ การประสานกับธนาคาร ผู้ให้บริการคริปโต โซเชียลมีเดีย และการใช้ข้อมูลจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)
ส่วนยิ่งยศที่ถือเป็นตัวแทนจากภาคแพลตฟอร์มดิจิทัล แบ่งปันวิธีการทำงานของ Meta ตอนนี้ว่าได้ปรับนโยบายและพัฒนาเทคโนโลยี 4 ด้าน
1.พัฒนาระบบตรวจจับภาพ วิดีโอ ข้อความ เพื่อรุกปราบบัญชีผู้กระทำผิด
2.ลงทุนด้านระบบด้วยเงินทุนมูลค่ากว่า 30,000 ล้านเหรียญ
3.ใช้ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยกว่า 40,000 คน
4.แคมเปญให้ความรู้ต่อเนื่องกับพันธมิตรในไทย รวมถึงการทำ Roadshow ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้าง
ส่วนด้านการเงินและสิทธิมนุษยชน จิล ฮินเดอร์ ตัวแทนจาก UNDP ระบุว่าองค์กรกำลังขับเคลื่อนโครงการ Finance Against Slavery and Trafficking (FAST) Initiative โดยการสนับสนุนของรัฐบาลลิกเตนสไตน์ ซึ่งเป็นโครงการที่เชื่อมโยงกลุ่มประเทศ G7 และกลุ่มประเทศ G20 เพื่อทำงานร่วมกับสถาบันการเงินในการยกระดับและป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชน แลกเปลี่ยนข้อมูลกับกลุ่มธนาคารเพื่อเรียนรู้กลุ่มลูกค้าที่อาจตกเป็นเหยื่อสแกมเมอร์และการค้ามนุษย์ รวมถึงข้อเสนอแนะให้เหยื่อมีสิทธิเข้าถึงบริการทางการเงินแม้ไม่มีเอกสารครบถ้วน เป็นต้น
และการประสานงานเชิงนโยบายในระดับภูมิภาค ชนาพัทร์ ระบุว่า ASEAN-ACT จะผลักดันให้เกิดความร่วมมือระหว่างหน่วยงานและภาคธุรกิจในทุกมิติ ตั้งแต่สาธารณูปโภค โทรคมนาคม ไปจนถึงเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อสร้างกลไกยับยั้งอาชญากรรมที่ทำงานเหมือนระบบอุตสาหกรรม เน้นการทำงานเชิงรุกกับภูมิภาคอาเซียนเพื่อผลักดันให้เกิดบรรทัดฐานระดับภูมิภาค
ข้อสรุปของทุกฝ่ายล้วนมีเป้าหมายสูงสุดเดียวกัน คือไม่ใช่แค่การปราบปรามอาชญากร แต่ต้องเร่งฟื้นฟูความไว้วางใจ ความยุติธรรม และศักดิ์ศรีของผู้คนในสังคม
งานเสวนานี้จัดโดยสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (GCNT)เครือข่ายด้านความยั่งยืนของภาคเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ภายใต้ชื่องาน GCNT EXPO 2025: Forward SDGs Faster Together รวมพลังเร่งสร้างโลกที่ยั่งยืน เพื่อการขับเคลื่อนประเทศสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ภายในปี 2030