“ธนาคารยูโอบีหยั่งรากลึกในประเทศไทยและเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นโอกาสสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกและมีส่วนร่วมในการพัฒนาอนาคตของประเทศ ความมุ่งมั่นจัดการความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล รวมทั้งกลยุทธ์ของธนาคารตั้งอยู่บนพื้นฐานของความยั่งยืน เพราะเราเชื่อมั่นว่าเรามีหน้าที่สร้างสรรค์โลกให้ดียิ่งขึ้น” ตัน ชุน ฮิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคาร ยูโอบี ประเทศไทย
มุ่งมั่นสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ
ยูโอบีได้ประกาศคำมั่นในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ภายในปี 2593 บนพื้นฐานของความต้องการการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม ที่ยังคงสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคม และเดินหน้าร่วมสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ ด้วยการบ่มเพาะให้ลูกค้าและธุรกิจก้าวสู่เส้นทางความยั่งยืนไปด้วยกัน ด้วยความเชื่อมั่นว่านี่คือ “โอกาสสำหรับทุกคน” ภายใต้ เป้าหมายนี้ ธนาคารมุ่งเน้นอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงทั้ง 6 กลุ่ม ได้แก่ ธุรกิจพลังงาน ยานยนต์ น้ำมันและ ก๊าซธรรมชาติ อสังหาริมทรัพย์ อุตสาหกรรมก่อสร้าง และเหล็กกล้า ซึ่งทั้ง 6 อุตสาหกรรมนี้ คิดเป็น 60% ของพอร์ต โฟลิโอสินเชื่อของธุรกิจธนาคารยูโอบี
คิดค้นและพัฒนาโซลูชันทางการเงิน
ในฐานะผู้ให้บริการทางการเงิน ความท้าทายของยูโอบี คือ การเป็นตัวเร่งให้ลูกค้าเปลี่ยนผ่าน ช่วยให้ธุรกิจของลูกค้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยมี2ประเด็นที่ให้ความสำคัญ ประเด็นแรก คือ การเป็นผู้นำทางความคิด (Thought Leadership) เพื่อร่วมขับเคลื่อนธุรกิจสู่เส้นทางของความยั่งยืน โดยมุ่งสนับสนุนลูกค้าและพาร์ตเนอร์ของธนาคารให้เปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนรวมถึงธุรกิจขนาดเล็กเช่น กลุ่ม SMEs ที่ยังต้องการแรงจูงใจและสนับสนุนอย่างมาก ให้ขับเคลื่อนธุรกิจไปในทิศทางนี้ ยุโอบียังกระตือรือร้นที่จะนำประเด็นความยั่งยืนมาพูดคุยในการหารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ไม่ว่าจะเป็นพาร์ตเนอร์ หน่วยงานราชการหรือลูกค้าโดยหวังให้ “ความยั่งยืน” เป็นเรื่องสำคัญสำหรับทุกคนทุกฝ่าย ประเด็นที่ 2 คือ การพัฒนาโซลูชันทางการเงินสีเขียว (Sustainable Financing Solutions) ภายใต้กรอบแนวคิดการเข้าถึงการเงินทุนที่ยั่งยืน 6 ด้าน อาทิ กรอบแนวคิดด้านเมืองอัจฉริยะ กรอบแนวคิดด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน กรอบแนวคิดด้านสินเชื่อเพื่อการเปลี่ยนผ่าน ซึ่งจะครอบคลุมธุรกิจต่างๆ ในห่วงโซ่คุณค่า เช่น กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า กลุ่มพลังงานหมุนเวียน กลุ่มก่อสร้าง เพื่อสนับสนุนธุรกิจให้สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ รวมทั้ง ‘อุตสาหกรรมสีน้ำตาล’ ซึ่งรวมถึงน้ำมัน ก๊าซและเคมีภัณฑ์ โลหะและเหมืองแร่ และพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิล ที่เป็นอุตสาหกรรมหลักในการปล่อยมลพิษจำนวนมากและยากต่อการกำจัด
โครงการ SIP ได้รวบรวมพันธมิตรจากภาครัฐและเอกชนที่สามารถช่วยเหลือ SMEs ไทยในทุกกลุ่มธุรกิจ เพื่อเริ่มต้นปรับใช้แนวทางปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยองค์ความรู้เฉพาะทาง นอกจากนี้ SMEs จะสามารถประเมินความพร้อมของธุรกิจสำหรับการพัฒนาสู่ความยั่งยืนได้ ผ่าน UOB Sustainability Compass ซึ่งเป็นเครื่องมือด้านความยั่งยืนของทางธนาคารที่พัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะโดยเครื่องมือนี้จะแนะนำแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมสำหรับกลุ่มธุรกิจต่างๆ
นอกจากโครงการ SIP ยูโอบี ยังจัดทำโครงการสำหรับสตาร์ทอัพและบริษัทผู้ให้บริการโซลูชันเพื่อสิ่งแวดล้อมหรือกรีนเทค ที่ชื่อว่า GreenTech Accelerator (GTA) เพื่อคัดเลือกและสนับสนุนเทคโซลูชันที่จะมาช่วยจัดสรรทรัพยากรอย่างถูกต้องมากขึ้น เพื่อทำให้ต้นทุนของ SMEs ลดลง โดยส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น โลกดีขึ้น และสังคมยั่งยืนขึ้น
ในฐานะสถาบันการเงิน ยูโอบี ตระหนักถึงบทบาทในการเป็นผู้เร่งและผู้สร้างอิทธิพลต่อเศรษฐกิจ จึงให้ความสำคัญกับการสร้างคุณค่าด้านความยั่งยืนสำหรับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายของธนาคารโดยกำหนดให้กลยุทธ์ทางธุรกิจในระยะยาวให้เป็นไปในทิศทางเดียวกับผลประโยชน์ของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเหล่านั้นและเชื่อมั่นในการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ตอบสนองต่อความต้องการในปัจจุบันโดยไม่ส่งผลต่อขีดความสามารถของคนรุ่นต่อไปในการตอบสนองต่อความต้องการของพวกเขาเช่นกัน