#SDGsMegaTrend2020
คุณศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ เอสซีจี
– การจัดการขยะ หรือ Waste Management เป็นแกนหลักที่จะทำให้วัสดุหมุนเวียนกลับคืนมาได้ในวงจรของ Circular Economy
– เราเห็นอะไรดีก็เริ่มทำเป็นต้นแบบ จากนั้นสร้างเป็นมาตรฐานแล้วนำไปขยายผล ด้วยวงจรแบบนี้ คนที่จะนำไปทำต่อจะเข้าใจมากขึ้นและมีความมั่นใจว่าทำได้จริง ดังนั้น สิ่งสำคัญคือเราต้องลงมือทำให้เห็นก่อน
– ปัจจัยสำคัญในการทำ Circular Economy ให้สำเร็จ จำเป็นต้องอาศัย Passion ของผู้นำองค์กรเป็นจุดเริ่มต้น ขณะเดียวกัน ก็ต้องมีภาวะผู้นำที่เพียงพอในการลงมือปฏิบัติให้คนอื่นได้เห็นเป็นต้นแบบ
1 มกราคม พศ. 2563 ประเทศไทยประกาศเป็นวันดีเดย์ งดแจกถุงพลาสติกทั่วทุกห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศ ส่งสัญญาณบอกถึงการให้ความสำคัญกับปัญหาขยะพลาสติกซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหา ‘ขยะล้นโลก’ ซึ่งเป็นประเด็นที่ทุกประเทศทั่วโลกกำลังลุกขึ้นมาขยับขับเคลื่อนมองหาทางแก้ไขปัญหากันอย่างจริงจังแข็งขัน
เอสซีจี ในฐานะผู้นำธุรกิจที่ดำเนินงานด้านวัสดุก่อสร้างและเคหะภัณฑ์ของประเทศไทย หนึ่งในองค์กรที่ชูนโยบายและกลยุทธ์หลักตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียนหรือ Circular Economy มองเห็นความสัมพันธ์ที่เกี่ยวโยงกันอย่างแนบแน่นของการจัดการขยะกับการขับเคลื่อนให้เกิดระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน จึงได้ลงมือขับเคลื่อนเรื่องนี้อย่างจริงจัง คุณศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ด้านโพลีโอเลฟินส์และไวนิล ธุรกิจเคมิคอลส์ เอสซีจี ให้เกียรติมาถอดบทเรียนเบื้องหลังความสำเร็จของนวัตกรรมและโครงการต่างๆ ที่เกิดขึ้นของเอสซีจี เพื่อให้เราได้มองเห็นกันอย่างเป็นรูปธรรม

“ผมเรียกการจัดการขยะ หรือ Waste Management ว่าเป็น Backbone ที่จะทำให้วัสดุถูกทำให้หมุนเวียนกลับคืนมาได้ในวงจรของ Circular Economy” คุณศักดิ์ชัยเริ่มต้นโดยชี้ให้เห็นวงจรความสัมพันธ์ของสองประเด็นสำคัญที่กำลังถูกพูดถึงไปทั่วโลกในวันนี้ “เคยมีคนพูดกับผมว่า ความจริงแล้ว Waste มันเป็นแค่ Material ที่ไปอยู่ผิดที่ ของชิ้นเดียวกันนั้น ถ้ามีคนสามารถเอาไปใช้ประโยชน์ได้ มันจะไม่ถูกเรียกว่าเป็นขยะ เอสซีจีเรามองเห็นวงจรตรงนี้ เราจึงชวนคิดชวนคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แล้วเริ่มลงมือบริหารจัดการปัญหาขยะอย่างจริงจัง เรามองว่าเรื่องนี้มันดี แต่มันจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าเอสซีจีไม่ลงมือทำเป็นต้นแบบ”
ภายใต้คำมั่นสัญญาขององค์กร Passion for Better ซึ่งเป็นแนวคิดที่จะส่งต่อสิ่งที่ดีกว่าให้แก่ประชากรรุ่นต่อไป การตระหนักถึงการส่งเสียงของคนรุ่นใหม่ ที่กล่าวว่าผู้ใหญ่ในวันนี้คือผู้ที่จะมาทำลายอนาคตของพวกเขา ด้วยการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่จนหมดไม่เหลือไว้ถึงคนรุ่นต่อไป ทำให้เอสซีจีเริ่มคิดค้นนวัตกรรมและลงมือทำโครงการต่างๆ เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการขยะและวัสดุหมุนเวียนอย่างทุ่มเทและจริงจัง
“เราริเริ่มทำที่องค์กรของเราก่อน โดยเรียกว่า โครงการบางซื่อโมเดล เราตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาการแยกและบริหารจัดการขยะ ผลปรากฎว่าในวันนี้เราสามารถจัดการขยะได้ครึ่งหนึ่งแล้ว เหลืออีกครึ่งหนึ่งซึ่งกำลังจะถูกแปรสภาพไปเป็นปุ๋ยเพิ่มเติมในเร็วๆ นี้ ทำให้วันนี้เรากล้ายืนยันเลยว่าบางซื่อโมเดลจะเป็น Zero Waste Landfield คือจะไม่มีขยะไปถึง กทม.เลย นี่คือความคาดหวังอันใกล้ของเรา”
ในอีกด้านหนึ่ง เอสซีจียังขยับไปยกระดับให้ขยะมีมูลค่าสูงขึ้น ด้วยการสร้าง Upcycle Center หรือศูนย์องค์ความรู้สำหรับคนที่สนใจการนำขยะมาสร้างมูลค่าเพิ่ม แปรรูปขยะเป็นสินค้าใหม่ออกสู่ตลาด เริ่มตั้งแต่การให้องค์ความรู้ การจัดประกวดแข่งขัน ไปจนถึงการช่วยเหลือสนับสนุนด้านการตลาด เพื่อให้แนวคิดนี้สามารถเกิดขึ้นได้จริง
ขณะเดียวกัน การบริหารจัดการขยะบนแนวคิด Circular Economy ยังถูกนำมาใช้ในการดำเนินธุรกิจของเอสซีจีในหลากหลายรูปแบบ ตัวอย่างเช่น การนำซอฟต์แวร์เข้ามาช่วยในการก่อสร้างตั้งแต่การออกแบบ การสร้างชิ้นส่วนต่างๆ (Modular) ที่ช่วยให้ปัญหาขยะจากเศษวัสดุลดน้อยลง หรือการคิดธุรกิจหมุนเวียนพลาสติกเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด อย่างการทำถนนจากพลาสติก ฯลฯ
“พลาสติกบางตัวไม่สามารถรีไซเคิลได้ หรือหากจะรีไซเคิลก็ทำได้ยาก ต้นทุนสูง เอสซีจีจึงร่วมกับบริษัท DOW Chemicals พัฒนาเทคโนโลยีในการนำพลาสติกเหล่านี้มาผสมกับยางมะตอยแล้วนำไปใช้ราดถนน ผลปรากฎว่านอกจากการประหยัดต้นทุนแล้ว การใช้พลาสติกในปริมาณที่เหมาะสมยังทำให้ยางมะตอยมีคุณสมบัติที่ดีขึ้น แข็งแรงทนต่อการกัดเซาะของน้ำได้สูงกว่า ตอนนี้เรื่องถนนพลาสติกถูกนำไปขยายต่อในหลายพื้นที่แล้ว ล่าสุดกรมทางหลวงได้รับเรื่องนี้ไปศึกษาอย่างจริงจัง ซึ่งถ้าเราสามารถขยายผลได้ในระดับประเทศ จะช่วยกำจัดขยะพลาสติกเพิ่มได้อีกถึง 8 หมื่นตันต่อปี”
เมื่อถามถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้จากประสบการณ์การลงมือบริหารจัดการขยะตามแนวทางของเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างจริงจัง จนเกิดผลสำเร็จในหลากหลายโครงการที่ผ่านมา คุณศักดิ์ชัยกล่าวว่า สิ่งสำคัญคือต้องเริ่มจากการสร้างทัศนคติให้มองเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดีและสำคัญ
“ประสบการณ์จากการทำโครงการบางซื่อโมเดลทำให้เราได้เรียนรู้ว่า เอาเข้าจริงแล้วถังขยะไม่มีความหมายอะไรเลย ต่อให้เราใส่ถังขยะเพิ่มไปเป็นสิบใบก็ไม่มีความหมาย ถ้าคนในองค์กรไม่ให้ความร่วมมือ ไม่เข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ดีและสำคัญ”

อย่างไรก็ตาม การทำ Circular Economy ไม่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยใครหรือองค์กรใดเพียงองค์กรเดียว เพราะการทำให้วัสดุหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจกันเป็นเส้นทางที่ยาวตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ เริ่มต้นตั้งแต่คนออกแบบสินค้า เจ้าของสินค้า ผู้ค้าปลีก ผู้บริโภค จากนั้นก็ต้องย้อนกลับมาเข้าสู่การแปรรูปเป็นวัสดุใหม่อีกครั้ง หมุนเวียนกันไปเป็นวงจรขนาดใหญ่ ดังนั้น ประสบการณ์และความสำเร็จในโครงการต่างๆ ของเอสซีจี จึงไม่ได้หยุดเพียงแค่ภายในองค์กร แต่จะถูกนำไปถ่ายทอดขยายต่อไปยังองค์กรอื่นๆ และผู้ที่สนใจในวงกว้าง เพื่อให้เกิดชุมชนของคนที่เห็นความสำคัญของเรื่องนี้และพร้อมจะเดินจับมือไปด้วยกัน
“เริ่มต้นจากเราเห็นอะไรดีก็เริ่มทำเป็นต้นแบบ จากนั้นสร้างเป็นมาตรฐานแล้วนำไปขยายผล ด้วยวงจรแบบนี้ คนที่จะเอาไปทำต่อจะเข้าใจมากขึ้นและมีความมั่นใจว่าทำได้จริง ดังนั้น สิ่งสำคัญคือเราต้องลงมือทำให้เห็นก่อน”
สุดท้ายนี้คุณศักดิ์ชัยฝากไว้ว่า สิ่งสำคัญที่จะทำให้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนเกิดขึ้นได้จริง ต้องอาศัย Passion และภาวะผู้นำในการลงมือปฏิบัติเป็นต้นแบบ ซึ่งหากองค์กรใดยังไม่เริ่มต้นวันนี้ ทุกอย่างอาจจะสายเกินไป
“ปัจจัยสำคัญในการทำ Circular Economy ให้สำเร็จ จำเป็นต้องอาศัย Passion ของผู้นำองค์กรเป็นจุดเริ่มต้น ขณะเดียวกันก็ต้องมีภาวะผู้นำที่เพียงพอในการลงมือปฏิบัติให้คนอื่นได้เห็นเป็นต้นแบบ เพราะถ้าเราไม่ทำ คนอื่นจะเชื่อมั่นได้อย่างไรว่าทำได้จริง…สำหรับองค์กรต่างๆ ปีนี้ก็อยากให้คิดและดูธุรกิจของตัวเองเรื่องของการพัฒนาอย่างยั่งยืน การใช้ทรัพยากรอย่างมีคุณค่า เพราะเทรนด์มาแบบนี้ ถ้าผู้ประกอบการคนใดยังไม่ได้คิดว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญ ผมก็เชิญชวนให้คิดใหม่ เมื่อคิดแล้วลงมือปฏิบัติเลยนะครับ สิ่งเหล่านี้จะส่งผลดีต่อธุรกิจของคุณในระยะยาวอย่างแน่นอน”
ดาวน์โหลด 5 แนวโน้มสําคัญเพื่อจะบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
