
เมื่อความพยายามในการต่อกรกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทวีความเข้มข้นขึ้น ปัญหา ‘การรั่วไหลของคาร์บอน’ ได้กลายเป็นความกังวลสำคัญสำหรับทั้งผู้กำหนดนโยบายและอุตสาหกรรมทั่วโลก หลายประเทศ
สำหรับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อย่างไทย ซึ่งการส่งออกมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจ ‘มาตรการอุดการรั่วไหลของคาร์บอน’ ที่ประเทศต่างๆ โดยเฉพาะสหภาพยุโรปกำลังเร่งดำเนินการอยู่นั้น ย่อมส่งผลกระทบต่อเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยอุตสาหกรรมไทยอาจต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นและความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง ทั้งจากการที่บริษัทข้ามชาติเข้ามาตั้งฐานการผลิตสินค้าในไทย รวมถึงบริษัทไทยเองที่ยังคงใช้กระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนสูง
GCNT ชวนทำความเข้าใจ ปรากฏการณ์การรั่วไหลของคาร์บอน รวมถึงแนวทางการปรับตัวของภาคเอกชนเพื่อตามให้ทันกฎระเบียบใหม่ๆ ของโลกและยังได้เปรียบบนเวทีการค้าระหว่างประเทศ

Image by kp yamu Jayanath from Pixabay
การรั่วไหลของคาร์บอนคืออะไร
การรั่วไหลของคาร์บอน (Carbon Leakage) หมายถึงสถานการณ์ที่ธุรกิจย้ายการผลิตไปยังประเทศที่มีกฎระเบียบเกี่ยวกับการปล่อยคาร์บอนที่ไม่เข้มงวด หรือมีต้นทุนเกี่ยวกับคาร์บอนที่ต่ำกว่า และนำไปสู่การเพิ่มการปล่อยคาร์บอนในสถานที่ใหม่
ปรากฏการณ์นี้ทำให้ประสิทธิภาพของนโยบายการลดคาร์บอนในประเทศที่มีกฎระเบียบเข้มงวดลดลง และส่งผลให้ความพยายามของประเทศที่มีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมเข้มงวดนั้นไม่ได้ผลเต็มที่ เพราะการปล่อยคาร์บอนไม่ได้ถูกลดลงทั่วโลก แต่ถูกย้ายจากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่งเท่านั้น
เช่น บริษัทในยุโรปที่รัฐบาลเข้มงวดต่อการกำหนดภาษีคาร์บอนหรือจำกัดการปล่อยคาร์บอน ได้ทำการย้ายไปยังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีกฎระเบียบน้อยกว่าเพื่อหลีกเลี่ยงต้นทุน รวมถึงภาระทางการเงินในการปฏิบัติตามกฎการปล่อยคาร์บอน และอาจมาจากการที่บริษัทกังวลว่าจะแพ้คู่แข่งในระดับนานาชาติที่ไม่ได้เผชิญกับข้อจำกัดด้านคาร์บอนเหมือนกัน
การรั่วไหลของคาร์บอนมักจะเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานมาก เช่น ปูนซีเมนต์ เหล็ก อลูมิเนียม และเคมีภัณฑ์ ซึ่งการลดการปล่อยก๊าซจะทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ปัจจุบัน ความเสี่ยงของการรั่วไหลของคาร์บอนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เมื่อประเทศต่างๆ เริ่มมีนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศที่เข้มงวดขึ้นเพื่อตอบสนองเป้าหมายการปล่อยก๊าซสุทธิเป็นศูนย์ หากไม่มีมาตรการที่เพียงพอ อุตสาหกรรมย้ายที่ตั้งไปยังประเทศที่มีกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมที่ไม่เข้มงวด ผลที่เกิดขึ้นไม่เพียงทำลายประสิทธิภาพของการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศทั่วโลก แต่ยังสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจให้กับอุตสาหกรรมในภูมิภาคที่มีกฎหมายเข้มงวดด้วย

Image by Tung Lam from Pixabay
แนวทางป้องกันการรั่วไหลของคาร์บอน
- มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) การเก็บภาษีสินค้านำเข้าตามปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอน เพื่อให้ผู้ผลิตในต่างประเทศต้องเสียค่าใช้จ่ายเช่นเดียวกับผู้ผลิตในประเทศ เช่น สหภาพยุโรปกำลังดำเนินการเกี่ยวกับ CBAM เพื่อป้องกันอุตสาหกรรมอย่างเหล็ก ปูนซีเมนต์ และเคมีภัณฑ์จากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม โดยการเก็บภาษีสินค้านำเข้าเช่นนี้จะกระตุ้นให้ผู้ผลิตทั่วโลกหันมาใช้เทคโนโลยีที่สะอาดขึ้น และปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศจากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม
- การให้สิทธิ์ปล่อยก๊าซเรือนกระจกฟรี ระบบการซื้อขายสิทธิ์ในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น EU ETS ของสหภาพยุโรป ให้สิทธิ์ปล่อยก๊าซฟรีแก่บางอุตสาหกรรมเพื่อป้องกันไม่ให้บริษัทต่างๆ ย้ายฐานการผลิตไปยังต่างประเทศ อย่างไรก็ตามแนวทางก็อาจส่งผลให้แรงจูงใจในการลงทุนในเทคโนโลยีที่สะอาดลดลงด้วย
- การลงทุนในเทคโนโลยีสะอาด รัฐบาลและภาคเอกชนสามารถลดการรั่วไหลของคาร์บอนได้ด้วยการสนับสนุนการวิจัยและการลงทุนในเทคโนโลยีสะอาด การใช้พลังงานอย่างมีประสิททธิภาพ การใช้พลังงานหมุนเวียน และการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) มาใช้ จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนและควบคุมต้นทุนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยรัฐบาลสามารถมีบทบาทสำคัญได้ด้วยการมอบสิทธิประโยชน์ทางการเงิน เช่น การลดหย่อนภาษี การมอบเงินช่วยเหลือ และการสนับสนุนทางการเงินแก่บริษัทที่ลงทุนในเทคโนโลยีเหล่านี้ ซึ่งการร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนจะเร่งการพัฒนาและการนำเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำมาใช้ได้มากขึ้น
- การเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ข้อตกลงสภาพภูมิอากาศระหว่างประเทศ เพื่อแก้ปัญหาการรั่วไหลของคาร์บอนอย่างมีประสิทธิภาพ รัฐบาลต้องร่วมมือกันสร้างความสอดคล้องด้านนโยบายสภาพภูมิอากาศระหว่างประเทศ การมีมาตรการที่เท่าเทียมกันทั่วโลกจะช่วยลดแรงจูงใจที่ธุรกิจจะย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีกฎเกณฑ์ที่อ่อนกว่า นอกจากนี้ การมีข้อตกลงที่เข้มแข็งระดับโลกยังช่วยสร้างความแน่นอนในด้านกฎระเบียบ และส่งเสริมการลงทุนระยะยาวในวิธีแก้ไขปัญหาที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ

Photo by Matthew TenBruggencate on Unsplash
ผลกระทบต่อประเทศไทย
ประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ มีความเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในภาคการผลิต เช่น อิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ และสิ่งทอ หากบริษัทในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหภาพยุโรปหรือสหรัฐอเมริกา ย้ายการผลิตมายังประเทศไทยซึ่งมีกฎเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อมที่ไม่เข้มงวดเท่า การเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศไทยเพิ่มขึ้น แม้ประเทศไทยเองจะไม่ใช่ผู้บริโภคหลักของสินค้าที่ผลิต
ผลที่ตามมา ประเทศไทยอาจกลายเป็นศูนย์กลางสำหรับอุตสาหกรรมที่ปล่อยคาร์บอนสูง ซึ่งอาจทำลายความพยายามในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก แม้ว่าสิ่งนี้อาจส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ก็อาจทำให้ประเทศไทยต้องพึ่งพาอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานคาร์บอนมากในระยะยาว และเป็นอุปสรรคในการเปลี่ยนไปสู่อุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
หากเป็นเช่นนั้น ภาคเอกชนไทยก็จะมีความเสี่ยงด้านความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ และอย่างที่กล่าวไปถึง CBAM ซึ่งเป็นการเก็บภาษีสินค้านำเข้าตามปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอน หากอุตสาหกรรมของไทยยังคงใช้วิธีการผลิตที่ปล่อยคาร์บอนสูง สินค้าส่งออกของไทยอาจถูกเก็บภาษีที่สูงขึ้นเมื่อส่งไปยังประเทศที่มีกลไก CBAM ซึ่งจะทำให้สินค้าของไทยมีราคาแพงขึ้นและสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาด
ภาคเอกชนต้องปรับตัวอย่างไร
แม้จะมีเสียงวิจารณ์ว่า CBAM เป็นการกีดกันทางการค้า ซึ่งอาจขัดต่อกฎระเบียบขององค์การการค้าโลก (WTO) และอาจทำให้การร่วมมือด้านสภาพภูมิอากาศระดับโลกเป็นเรื่องยากขึ้น แต่ก็มีหลายส่วนมองว่านโยบายนี้จำเป็นต่อการกระตุ้นให้ทุกประเทศดำเนินมาตรการด้านสภาพภูมิอากาศอย่างเข้มแข็งขึ้น
สหภาพยุโรปคือผู้นำในการออกมาตรการ CBAM ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านและคาดว่าจะเริ่มใช้งานเต็มรูปแบบภายในปี 2026 ขณะเดียวกัน แคนาดา ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย ก็กำลังพัฒนาหรือถกเถียงเกี่ยวกับนโยบายที่คล้ายกัน เช่น ระบบการซื้อขายสิทธิ์ในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ETS) และภาษีคาร์บอน
ภาคธุรกิจต้องเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อให้อุตสาหกรรมของตนยังสามารถแข่งขันได้ เมื่อมาตรการอุด ‘การรั่วไหลของคาร์บอน’ ของประเทศต่างๆ ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายและเข้มข้นขึ้น โดยตัวอย่างกลยุทธประกอบไปด้วย
- การนำเทคโนโลยีที่ปล่อยคาร์บอนต่ำมาใช้เพื่อลดความเสี่ยงจากนโยบายอุดการรั่วไหลของคาร์บอน
- การพัฒนาระบบการติดตามและวัดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดของตน รวมถึงพิจารณาเลือกซัพพลายเออร์ที่มีการปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยการรายงานความยั่งยืนด้วยข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นกับผู้บริโภคและนักลงทุนอีกด้วย
- ในกรณีที่ธุรกิจที่ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงไปสู่การผลิตคาร์บอนต่ำได้เต็มที่ ให้พิจารณาการซื้อเครดิตคาร์บอนจากบริษัทที่ลดการปล่อยก๊าซได้มากกว่าระดับที่กำหนด และการชดเชยทางคาร์บอนด้วยการลงทุนในโครงการที่ช่วยลดหรือกำจัดการปล่อยก๊าซคาร์บอน เช่น การปลูกต้นไม้เพื่อเพิ่มพื้นที่ป่า หรือโครงการพลังงานหมุนเวียน

Photo by Tyler Casey on Unsplash
- เริ่มนำการประเมินต้นทุนในอนาคตที่อาจเกิดจากภาษีคาร์บอน CBAM หรือการซื้อขายคาร์บอน มาพิจารณาในการวางแผนธุรกิจระยะยาว เพื่อช่วยให้ธุรกิจตัดสินใจในการลงทุนได้ดีขึ้น
- มีส่วนร่วมในการสนทนากับผู้กำหนดนโยบาย และร่วมมือกับกลุ่มอุตสาหกรรมในการออกแบบนโยบายที่เป็นธรรมและไม่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมใดเกินควร เพื่อผลักดันให้นโยบายต่างๆ ส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีที่สะอาดและมอบสิ่งจูงใจในการนำเทคโนโลยีเหล่านั้นมาใช้
- ที่สำคัญบริษัทควรลงทุนในการวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ วัสดุ และกระบวนการใหม่ๆ ที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยให้ได้เปรียบในการปฏิบัติตามกฎระเบียบใหม่ๆ แต่ยังเปิดโอกาสทางการตลาดใหม่ด้วย
ความคืบหน้าล่าสุด
ปลายปี 2024 นี้ ประเทศไทยมีแนวทางที่ภาคเอกชนได้นำเสนอต่อรัฐบาลเพื่อหาแนวทางร่วมเร่งเปลี่ยนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด พร้อมกับผลักดันระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน ประกอบไปด้วย
- การเร่งปลดล็อกกฎหมายและข้อกำหนด (Law & Regulations) โดยภาครัฐเร่งเปิดเสรีซื้อ-ขายไฟฟ้าพลังงานสะอาดด้วยระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะเพื่อให้ทุกภาคส่วนเข้าถึงง่ายขึ้น สำหรับโครงการพลังงานสะอาดขนาดใหญ่ จะกำหนดให้มีระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้าเพื่อความเสถียรยิ่งขึ้น
- การจัดทำกฎหมายแม่บทว่าด้วยเศรษฐกิจหมุนเวียน ครอบคลุมทั้งระบบ กระตุ้นการบริโภคอย่างยั่งยืน ส่งเสริมผู้ผลิตออกแบบผลิตภัณฑ์โดยใช้วัสดุทดแทนหรือวัสดุรีไซเคิล และจัดการของเสีย กำหนดมาตรการจูงใจ เช่น ลดภาษีหรือเงินสนับสนุน รวมทั้งสนับสนุนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนส่งเสริมนโยบาย ‘Green Priority’ ให้ความสำคัญกับการใช้สินค้าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยภาครัฐนำร่องจัดซื้อ จัดจ้าง เพื่อส่งเสริมการใช้สินค้ากรีนและสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) เข้มแข็ง
- การผลักดันการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสีเขียว (Green Finance) ในปี 2025 โดยสนับสนุนงบประมาณพัฒนาบุคลากรของผู้ประกอบการ เพื่อให้สามารถขึ้นทะเบียนคาร์บอน ที่เป็นมาตรฐานสากล และจัดตั้งหน่วยงานในประเทศให้สามารถรับรองมาตรฐานดังกล่าว ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการทำคาร์บอนเครดิต เพื่อนำไปขอเงินทุนสีเขียว
- การเสริมศักยภาพการแข่งขัน SMEs การสนับสนุนการเร่งปรับตัว ชวนกันแสดงเจตนารมย์แต่ละกลุ่มธุรกิจให้มีเป้าหมายร่วมกันที่จะลงมือกึ่งบังคับ (Commitment & Enforcement) ที่จะพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้มีความรู้ความเข้าใจในการใช้พลังงานสะอาดเพื่อลดต้นทุน ส่งเสริมการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ และสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของ SMEs
ข้อมูลอ้างอิง
- https://www.lse.ac.uk/granthaminstitute/news/what-is-carbon-leakage-clarifying-misconceptions-for-a-better-mitigation-effort/
- https://www.lse.ac.uk/granthaminstitute/explainers/how-do-climate-policy-and-carbon-border-adjustments-affect-international-trade/
- https://climate.ec.europa.eu/eu-action/eu-emissions-trading-system-eu-ets/free-allocation/carbon-leakage_en
- https://www.c2es.org/content/carbon-border-adjustments/#:~:text=As%20of%20December%202023%2C%20the,cap%2Dand%2Dtrade%20program.
- https://www.dcceew.gov.au/sites/default/files/documents/review-carbon-leakage-terms-of-reference.pdf