สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย เครือข่ายท้องถิ่นของ UN Global Compactร่วมเป็นเจ้าภาพในงานสัมมนาระดับโลก UN Global Compact Virtual Leaders Summit 2021 ของ UN Global Compact ซึ่งปีนี้องค์กรธุรกิจไทยชั้นนำได้รับเกียรติร่วมเวทีสำคัญถึง 3 เวที สะท้อนให้เห็นถึงภาวะผู้นำด้านความยั่งยืนของประเทศไทยที่พร้อมสร้างการเปลี่ยนแปลงในระดับโลก โดยเฉพาะการรับมือกับมหันตภัยโลกร้อน ซึ่งผู้นำความยั่งยืนจากทั่วโลกให้ความสำคัญ โดยมองว่าปี ค.ศ. 2021 เป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะขับเคลื่อนโลกไปสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) สอดรับกับความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ของหลายประเทศ ที่ประกาศเป้าหมายและมาตรการเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ตามข้อตกลงปารีสที่ต้องการให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส นอกจากนี้ การผนึกกำลังของซีอีโอบริษัทไทยชั้นนำในเวทีโลกปีนี้ ยังสอดคล้องกับวัตถุประสงค์หลักในการก่อตั้งสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย ในการเป็นเครือข่ายความยั่งยืนยุคใหม่ที่จะร่วมกันลงมือทำเพื่อเปลี่ยนแปลงโลก (A New Era of Action)
นายศุภชัย เจียรวนนท์ ซีอีโอ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และนายกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย ร่วมเสวนาในหัวข้อ “Light the Way to Glasgow and Net Zero: Credible Climate Action for a 1.5 °C World” หรือ “จุดคบเพลิงเพื่อมุ่งหน้าสู่การประชุม COP26 Glasgow และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์: ลงมือทำอย่างจริงจังเพื่อควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส”
นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ และนายกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ ต้องเริ่มจากการทำให้คนในประเทศตระหนักถึงปัญหาการบริโภคที่ยังไม่ยั่งยืน ทั้งระดับบุคคลและบริษัท เช่น การใช้ทรัพยากรธรรมชาติมากเกินไปมาอย่างยาวนานที่ส่งผลให้อุณหภูมิโลกร้อนขึ้นเรื่อยๆ ในฐานะที่ธุรกิจของเครือเจริญโภคภัณฑ์เกี่ยวข้องกับอาหาร การเกษตร และการค้าปลีก จึงพยายามทำงานร่วมกับพันธมิตรมากกว่า 100,000 ราย ในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) และที่สำคัญ ต้องสร้างความตระหนักรู้ให้พนักงานกว่า 400,000 คนของเครือฯ เดินตามเป้าหมายเดียวกัน
เครือเจริญโภคภัณฑ์ตั้งเป้าหมายว่าภายใน 10 ปีข้างหน้าจะดำเนินการใน 3 หัวข้อหลัก คือ 1) ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนตามปริมาณที่เครือฯ ต้องการใช้ในปี 10 หน้า 1,600 เมกะวัตต์ โดยจะลงทุนเรื่องพลังงานสีเขียวกว่า 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ 2) ปลูกป่าให้ได้ 16 ล้านไร่ เพื่อครอบคลุมการชดเชยคาร์บอนฟุตพริ้นท์ใน 10 ปีข้างหน้า รวมถึงมุ่งมั่นลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกครอบคลุมพื้นที่ของเกษตรกรในห่วงโซ่อุปทาน 3) ขับเคลื่อนการกำจัดขยะ โดยเฉพาะขยะอาหารในกระบวนการทั้งหมดให้เป็นศูนย์
นอกจากนี้ นายศุภชัย ได้ยกตัวอย่างพื้นที่ในภาคเหนือของประเทศไทยว่า มีภูเขาหัวโล้นจำนวนมาก เนื่องจากระบบเกษตรกรรมพืชเชิงเดี่ยว (mono-crop) แต่เมื่อมีการส่งเสริมให้เปลี่ยนระบบเกษตรไปทำแบบผสมผสาน ก็ทำให้พื้นที่ป่าบนภูเขาเพิ่มขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ จึงเป็นคำตอบที่ชัดเจนว่า เราต้องหยุดการตัดป่าอย่างต่อเนื่อง และแนะนำให้นำเทคโนโลยี เช่น บล็อกเชน และ IoT มาช่วยจัดการดูแลระบบเกษตรกรรมมากขึ้น
“ผมอยากให้ในงานประชุม COP26 ระหว่างผู้นำโลก ณ เมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ ซึ่งจะจัดขึ้นเดือน พ.ย. 2564เรียกร้องให้รัฐบาลและตลาดหลักทรัพย์ในแต่ละประเทศ กำหนดให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และภาคเอกชน ตั้งเป้าหมายความยั่งยืนและทำรายงานเกี่ยวกับ zero emission เพื่อช่วยขับเคลื่อนทั้งระบบนิเวศ (eco-system) ให้การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อลดอุณหภูมิโลกเกิดขึ้นได้จริง ตามเป้าหมายภายในปี 2593 โดยภาคเอกชนควรมองเรื่องเหล่านี้เป็นโอกาสทางธุรกิจ เมื่อเราหันมาลงมือทำอย่างจริงจัง และสุดท้าย อยากให้ระบบการศึกษาของคนรุ่นใหม่ ปรับจากยุค 2.0 เป็น 4.0 ที่ไม่เพียงเน้นเฉพาะเรื่องเทคโนโลยี แต่ต้องสอนให้ตระหนักถึงความสำคัญเรื่องการดำรงชีวิตอย่างยั่นยืนด้วย” นายศุภชัย กล่าว