CPF ผนึกพลังสมาชิก GCNT ขับเคลื่อน Net Zero ผ่านนวัตกรรมพลังงานสะอาดและการฟื้นฟูระบบนิเวศ

ซีพีเอฟ ผนึกพลังสมาชิก GCNT ร่วมขับเคลื่อน Net Zero ผ่านนวัตกรรมพลังงานสะอาดและการฟื้นฟูระบบนิเวศ 

เป็นเวลา 6 ปีต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2016 ที่ไทยอยู่ใน 10 อันดับแรกของโลกที่มีความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประเทศไทยเผชิญกับเหตุการณ์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากกว่า 140 ครั้ง ก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวิภาพโดยตรง

เมื่อทรัพยากรธรรมชาติเสื่อมสภาพ ส่งผลกระทบต่อระบบอาหารของโลก ย่อมเป็นสัญญาณสื่อถึงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่าน และความจำเป็นในการปรับตัวเพื่อรับมือวิกฤต ให้ประชากรโลกมีความมั่นคงทางอาหาร 

องค์กรทุกภาคส่วนจึงจำเป็นต้องผนึกกำลัง ร่วมรับมือกับการเปลี่ยนนแปลงสภาพภูมิอากาศ มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเร่งปรับตัวผ่านนวัตกรรมเทคโนโลยีสะอาด ซีพีเอฟ ในฐานะผู้นำธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารครบวงจร ที่มีการลงทุนใน 17 ประเทศ และส่งออกสินค้ามากกว่า 40 ประเทศ ดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ประกาศเป้าหมายมุ่งสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2050

โดยให้ความสำคัญการขับเคลื่อนเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกร่วมกับเครือข่ายพันธมิตร อย่างสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (GCNT) ซึ่งซีพีเอฟเป็นหนึ่งในสมาชิกร่วมก่อตั้ง เมื่อปี 2016

ภายใต้แผนกลยุทธ์ตามแนวคิด Accelerating Business Solutions to Tackle Climate & Biodiversity Challenges โดยซีพีเอฟในฐานะหนึ่งในบริษัทสมาชิก ตระหนักดีถึงบทบาทสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศในการลดและชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ส่งเสริมการแก้ปัญหาโดยใช้ธรรมชาติเป็นพื้นฐาน (Nature-based solutions) จึงกำหนดเป้าหมายและกลยุทธ์อย่างเป็นรูปธรรมมุ่งสู่ความยั่งยืน “CPF 2030 Sustainability in Action”

ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงการปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพตั้งแต่ธุรกิจต้นน้ำ การจัดหาวัตถุดิบอย่างมีความรับผิดชอบต่อโลก  ถึงปลายน้ำตลอดห่วงโซ่อุปทาน  รวมทั้งการพิทักษ์และปกป้อง ป่าบกและป่าเลน เพื่อรักษาทรัพยากรอันเป็นต้นทางในการผลิตอาหาร ทั้งนี้ ตั้งแต่ปีก่อตั้งถึงปัจจุบัน สมาชิกของสมาคม GCNT ได้ร่วมกันลดก๊าซเรือนกระจกไปแล้ว อย่างน้อยประมาณ 8 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ผ่านโครงการต่างๆ เปรียบเสมือนการลดจำนวนรถยนต์บนถนนไปกว่าหนึ่งล้านหกแสนคัน 

ในส่วนของซีพีเอฟ มีการกำหนดแนวทางปฏิบัติการก้าวสู่องค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) โดยแสดงความมุ่งมั่นต่อองค์กร Science Based Target Initiative (SBTi)  ให้ความสำคัญกับการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดห่วงโซ่การผลิตอาหาร ที่เริ่มต้นตั้งแต่กระบวนการผลิตอาหารสัตว์ (Feed) การเลี้ยงสัตว์ (Farm) และการแปรรูปอาหาร (Food) ด้วยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ ควบคู่กับแนวทางการดำเนินธุรกิจตาม BCG Economy ซึ่งเป็นโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน 

โดยซีพีเอฟมุ่งขับเคลื่อนแนวทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Decarbonization) ผ่านการพัฒนานวัตกรรมและร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเครือข่ายพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง ช่วยให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด การพัฒนาผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ  การสร้างโรงงานและฟาร์มโดยคำนึงถึงการใช้พลังงานต่ำ เน้นการหมุนเวียนใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า และลดการปล่อยของเสียสู่ภายนอก รวมทั้งแนวทางการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Removal)

โดยปัจจุบันมีสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนอยู่ที่ร้อยละ 27 ของการใช้พลังงานทั้งหมด ช่วยลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 690,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปีหรือเทียบกับการปลูกต้นไม้ จำนวน 73 ล้านต้น ถือเป็น 1 ใน 5 องค์กรในประเทศไทย ที่ดำเนินธุรกิจด้านอาหารและมีสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนสูงที่สุด

นอกจากนี้ ซีพีเอฟมุ่งมั่นฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ สอดคล้องความร่วมมือระหว่างประเทศ Global Biodiversity Framework 30×30 ภายใต้อนุสัญญาความหลากหลายทางชีวภาพ (CBD) เพื่อให้ประเทศไทยประกาศเจตนารมณ์ความร่วมมืออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่เป็นรูปธรรม (Nature Protection) ร่วมกับสมาชิกเครือข่าย GCNT  ดำเนินโครงการแก้ปัญหาโดยใช้ธรรมชาติเป็นพื้นฐาน

ผ่านการทำงานร่วมกับกรมป่าไม้และผู้เชี่ยวชาญวนศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่ออนุรักษ์ ฟื้นฟู และปลูกป่าเพิ่มเติมในพื้นที่เขาพระยาเดินธง ลพบุรี กว่า 6,000 ไร่ ซึ่งได้รับการประกาศรับรองสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือกระจก (Low Emission Support Scheme: LESS) ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. เป็นส่วนหนึ่งของการผนึกกำลังในฐานะสมาชิก GCNT ร่วมรับมือวิกฤตโลกด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเร่งบรรลุเป้าหมายของประเทศไทย ในการก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี ค.ศ. 2065

การขับเคลื่อนเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนี้ เป็นประเด็นท้าทายที่องค์กรทุกภาคส่วนต้องร่วมกันหาทางออกโดยใช้ธรรมชาติเป็นพื้นฐาน ยืนหยัดสนับสนุนองค์ความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก โดยดำเนินการทั้งภายในกระบวนการของธุรกิจควบคู่กับเครือข่ายภายนอก ตามแนวคิด APEC 2022: Open. Connect. Balance (เปิดกว้าง สร้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกันสู่สมดุล) เพื่อเร่งการเปลี่ยนแปลงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และประสบผลสำเร็จในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เครือข่ายพันธมิตรคือสิ่งที่จำเป็นในการสร้างความยั่งยืนให้กับการดำเนินธุรกิจ รวมทั้งสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อลูกหลานของเราต่อไป

Share the Post:

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

This site is registered on wpml.org as a development site. Switch to a production site key to remove this banner.